วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

Sentences




Sentences คือ การนำเอาคำหลายๆคำมารวมกันและสื่อความหมายได้ใจความที่สมบูรณ์

เช่น – Rungsiam is an orphan.

– Wachirawit works in the orphanage.

– Anan gave a present to one of my friend.

– Tipsuda ate a pizza with her friends in the dining room yesterday.


โครงสร้างของประโยค

ประโยคประกอบด้วย

1. ภาคประธาน ( subject )

2. ภาคแสดง ( Predicate )

Subject + Predicate ( Verb + object / complement )

Rungsiam is an orphan.

Wachirawit works in the orphanage.

Anan gave a present to one of my friend.

Tipsuda ate a pizza with her friends in the dinning room yesterday.

ประโยคภาษาอังกฤษโดยพื้นฐานแล้วมี 4 ชนิดคือ

ประโยคความเดียว (simple sentence)
ประโยคความรวม (compound sentence)
ประโยคความซ้อน (complex sentence)
ประโยคความรวมความซ้อน (compound complex  sentence)

1.  ประโยคความเดียว

คือ  ประโยคที่สื่อความเดียว ไม่มีประโยคอื่นมาเกิดร่วมด้วย มีความสมบรูณ์ในตัวเอง                      

 แบ่งย่อยออก  เป็น 4 ประโยคย่อยคือ

1.1  ประโยคบอกเล่า(declarative sentence)     ซึ่งมีโครงสร้างที่ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ            
ภาคประธาน (subject) กับภาคแสดง (predicate) เช่น

Subject                                 Predicate

The government                     support OTOP. (รัฐบาลสนับสนุนสินค้าโอท็อป)

The oil price                              is going up now. (ราคาน้ำมันกำลังสูงขึ้น)

The cost of living                     is very high. (ค่าครองชีพสูงมาก)

1.2  ประโยคคำถาม (interrogative sentence)  มีประเภท คือ

1.2.1  Yes/No question   คือ  ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นประโยคด้วยกริยาช่วย  เช่น  is,  am, are, can, do เป็นต้น มีโครงสร้างดังนี้คือ

กริยา + ประธาน + กริยาหลัก (ถ้ามี) + ส่วนขยายอื่นๆ (ถ้ามี)

Are you American?

คุณเป็นคนอเมริกันหรือเปล่า

Can you speak Thai?

คุณพูดไทยได้ไหม

Do you like talking on the phone?

คุณชอบคุยโทรศัพท์ไหม

ที่เรียก Yes / No question ก็เพราะเวลาเราตอบคำถามประเภทนี้ต้องตอบ Yes หรือ No เท่านั้น เช่น

A:       Will you come tomorrow?

พรุ่งนี้คุณจะมาไหม

B:       Yes, I will.

มาครับ

A:       Can I come in?

ผมเข้าไปข้างในได้ไหม

B:       No, you can’t.

ไม่  คุณเข้าไม่ได้

1.2.1  Wh-question  คือ  ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำ 9 คำเหล่านี้คือ what, where, when, why, who, whose, which, how มีโครงสร้างดังนี้  คือ

Wh-words + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาหลัก (ถ้ามี) + ส่วนขยายอื่นๆ (ถ้ามี) เช่น

What is your name?

คุณชื่ออะไร

Where do you come from?

คุณมาจากไหน

When will you finish your homework?

คุณจะทำการบ้านเสร็จเมื่อไร

Why don’t you go to class?

ทำไมคุณจะไม่เข้าเรียน

Who is that man?

ผู้ชายคนนั้นคือใคร

Whom do you want to talk to?

คุณต้องการคุยกับใคร

Whose pen is this?

นี้ปากกาของใคร

Which do you hate, snakes or spiders?

คุณเกลียดอันไหน ระหว่างงูกับแมงมุม

How do you improve your English?

คุณจะพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณอย่างไร

1.2.2  ประโยคคำสั่ง หรือ ห้าม (imperative sentence)  เช่น

Keep quiet.   เงียบ

Close the door.  ปิดประตู

Do not smoke.  อย่าคุยในห้องสมุด

หมายเหตุ

ประโยคข้อร้อง ใส่คำว่า please ไว้ต้นประโยค ถ้าวางไว้ท้ายประโยคต้องมีคอมม่า (,) อยู่ข้างหน้า  เช่น

Please speak slowly.   กรุณาพูดช้าๆ

Sit down, please.    กรุณานั่งลง

2. ประโยคความรวม

       คือ การนำเอาประโยคความเดียวสองประโยคมารวมกันโดยใช้คำสันธาน (conjunction)                              เป็นตัวเชื่อมต่อเช่น

I like barbecued pork with sticky rice.

ผมชอบข้าวเหนียวหมูปิ้ง

Tim likes spaghetti.

ติ๋มชอบสปาเก็ตตี้

รวมประโยค 1 และ 2 เข้าด้วยกัน โดยการใช้ but มาเชื่อม กลาย เป็นประโยคความรวมคือ

I like barbecued pork with sticky rice, but Tim like spaghetti.

ผมชอบข้าวเหนียวหมูปิ้ง แต่ติ๋มชอบสปาเก็ตตี้

I got sick.

ฉันไม่สบาย

I didn’t go to work.

ฉันไม่ไปทำงาน

1+2 = I got sick, so I didn’t go to work.

ฉันไม่สบาย ดังนั้น จึงไม่ไปทำงาน

 3. ประโยคความซ้อน

คือ การที่ประโยคย่อย/รอง (dependent clause) ที่ไม่มีความหมายสมบรูณ์ในตัวมาซ้อนอยู่ในประโยคหลัก (independent clause)  ประโยครองจะต้องขึ้นต้นประโยคด้วยคำเชื่อมประโยคที่เรียกว่า Subordinate conjunction ได้แก่คำเหล่านี้คือ what, where, while, that, before, until, so that, if เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น

ประโยครอง:     If she doesn’t show up at the office.

ถ้าเธอไม่โผล่มาที่ทำงาน

ประโยคหลัก:    I will go to see her at her house.

ผมจะไปพบเธอที่บ้าน

ประโยคแรกมีใจความไม่สมบรูณ์ เพราะจะมีคำถามตามมาว่า “ถ้าเธอไม่โผล่มาที่ทำงาน…”                         และมันจะต้องมีข้อความมาเสริมต่อจึงจะได้ใจความเป็นที่เข้าใจส่วนประโยคที่สอง“ผมจะไปพบเธอที่บ้าน” มีใจความสมบรูณ์เป็นที่เข้าใจแล้ว      ดังนั้นประโยครองที่มีใจความ               ไม่สมบรูณ์จำเป็นต้องเอาไปซ้อนอยู่ในประโยคหลักเพื่อให้ได้ใจความสมบรูณ์ โดยมีคำเชื่อมคือ if (ถ้า) อยู่ข้างหน้า ดังตัวอย่างนี้

If she doesn’t show up at the office, I will go to see her at her house.

ถ้าเธอไม่โผล่มาที่ทำงาน ฉันก็จะไปตามเธอที่บ้านเอง

ถ้าจะวางประโยครองไว้หลังประโยคหลักก็ได้ แต่จะไม่มีคอมม่า (,) คั่น เช่นวางสลับประโยคข้างต้นได้ว่า

I will go to see her at her house if she doesn’t show up at the office. (มีความหมายเหมือนกัน)

ประโยครอง:     That she is going to quit her job.

ที่หล่อนจะลาออกจากงาน

ประโยคหลัก:     I don’t know. ผมไม่รู้

รวมเป็น:          I don’t know that she is going to quit her job.

ผมไม่รู้ว่าหล่อนจะลาออกจากงาน

4. ประโยคความรวมความซ้อน

เกิดขึ้นจากการที่ประโยคความซ้อน (ประโยครอง)มาซ้อนอยู่ในประโยคความรวม                              (ประโยคความเดียว + ประโยคความเดียว โดยมีคำเชื่อม) ลองดูตัวอย่างข้างล่างนี้

ประโยคความซ้อน(รอง) :     When I was thirteen years old.

เมื่อผมอายุสิบสามปี

ประโยคความรวม: I’ve played football, and now I became a football player of a Thailand team.

ผมเล่นฟุตบอลและกลายมาเป็นผู้เล่นทีมชาติไทย

กลายเป็นประโยคความรวมความซ้อนคือ:

I’ve played football when I was thirteen, and now I’ve become a football play of Thailand team.

ผมเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่อายุสิบสามปี และขณะนี้เป็นผู้เล่นทีมชาติไทย

ประโยคความซ้อน(รอง) :    What will happen?  จะเกิดอะไรขึ้น

ประโยคความรวม:           I don’t know, so I can’t tell you anything.

ผมไม่รู้ ดังนั้น ผมจึงบอกอะไรคุณไม่ได้

กลายเป็นประโยคความรวมความซ้อน:

I don’t know what will happen, so can’t tell you anything. (ความหมายเหมือนกัน)


ที่มาแหล่งข้อมูล
http://www.englishclubhouse.com/index.php?option=com_content&view=article&id=126&Itemid=118

Active Voice กับ Passive Voice คืออะไร


Active Voice กับ Passive Voice คืออะไร

ได้ยินคำเหล่านี้แล้วอย่าเพิ่งงงนะครับ มันเป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือการมาเรียนรู้โครงสร้างของประโยค ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร แตกต่างจากโครงสร้างของภาษาเราอย่างไร

สองคำนี้เป็นชื่อเรียกประโยคในภาษาอังกฤษที่มีความแตกต่างกันสองชนิดดังนี้

Active Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ  (ใคร ทำอะไร) เช่น

Thai people eat rice. คนไทยกินข้าว (ประธานคือ คนไทย)

Passive Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (ใคร ถูกทำ) เช่น

Rice is eaten by Thai people. ข้าวถูกกินโดยคนไทย (ประธานคือ ข้าว)

โครงสร้าง Passive Voice เป็นอย่างไร มีเท่าไหร่

โครงสร้างก็คล้ายกับ Active Voice ( Tense ทั้ง 12 ที่ได้เรียนไปแล้ว ) เพียงแค่มี Verb to be มาคั่น และกริยาหลักคือ ช่อง 3 หมดเลย และมีอยู่ทั้งหมด 12 รูปแบบประโยคเช่นกัน

ถ้าจะพูดให้ฟังใหม่ก็คือว่า Tenseย่อย มี 12 ตัว  แต่ละตัวสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ดังนี้

Present Tense

Present simple tense (Active voice )
Present simple tense (Passive voice )
Presenst continuous tense (Active voice)
Presenst continuous tense (Passive voice)
Present perfect tense (Active Voice)
Present perfect tense (Passive Voice)
Present perfect continuous tense (Active Voice)
Present perfect continuous tense (Passive Voice)
ยกตัวอย่างแค่ Present Tense ให้ดูนะครับ นับดูแล้วได้ 8 เพราะมันมีโครงสร้างที่ต่างกัน รวมกับ Past Tense อีก 8 และ Future Tense อีก 8 รวมเป็น 24 โครงสร้าง

ดังนั้น ถ้ามีคนถามเกี่ยวกับเรื่อง Tense ให้อธิบายดังนี้

Tense ใหญ่ๆ มี 3 Tense คือ Present Tense / Past Tense  / Future Tense
แต่ละ Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 Tense ย่อย คือ Simple / Continuous / Perfect / Perfect Continuous
แต่ละ Tense ย่อย แบ่งรูปแบบประโยคออกเป็น 2 ชนิด คือ Active Voice / Passive Voice
ดังนั้น ถ้าเราจะเรียนเรื่อง Tense เราต้องเรียนรู้โครงสร้างที่ต่างกัน 24 โครงสร้าง
แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมดหรอก เอามาใช้จริง ไม่ถึงครึ่งเลย คอนเฟิร์ม
 แล้ว Tense 12 ที่เรียนมาแล้วคืออะไร

Tense ทั้ง 12 ที่เรียนไปแล้วเป็นประโยค Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำทั้งหมด โดยไม่พูดถึง Passive Voice เลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โครงสร้าง Active Voice เสียก่อน ถ้าเข้าใจดีแล้ว การเรียนรู้ Passive Voice ก็จะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะต่างกันแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าให้เรียนรู้ควบกับไปเลยทั้งหมด เดี๋ยวจะงงกันเสียเปล่าๆ

เหตุผลที่ให้เรียนโครงสร้าง Active Voice ให้เข้าใจก่อนนั้นก็เพราะว่ามันเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษนั้นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว ภาษาอังกฤษก็จะเป็นเรื่องง่ายๆทันที เพราะผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหาต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว อาจติดขัดบ้างที่คำศัพท์ก็สามารถใช้ดิกชันนารีช่วยได้

ตัวอย่างประโยค

Present Tense

Thai people grow rice in rainy season. คนไทยปลูกข้าวในฤดูฝน (ใครปลูกข้าว ก็คนไทยไง)
Rice is grown in rainy season. ข้าวถูกปลูกในฤดูฝน (ใครปลูกไม่สน สนแต่ว่าปลูกเมื่อไหร่)
Rice is grown by Thai people. ข้าวถูกปลูกโดยคนไทย (ปลูกเมื่อไหร่ไม่สน สนแต่ว่าใครปลูก)

That woman is hitting a cat. หญิงคนนั้นกำลังตีแมว (ใครตี ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนตี)
A cat is being hit. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตี (ไม่ต้องการรู้ว่าใครตี ต้องการรู้แค่ว่าแมวโดนตี)
A cat is being hit by that woman. แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตีโดยผู้หญิงคนนั้น (ตัวนี้เป็นประโยคสมบูรณ์ แต่นิยมใช้ด้านบน)

He has built the house for two years. เขาได้สร้างบ้านมาแล้วเป็นเวลาสองปี
The house has been built for two years. บ้านได้ถูกสร้างมาแล้วเป็นเวลาสองปี

Past Tense

We grew rice yesterday. พวกเราปลูกข้าวเมื่อวานนี้
Rice was grown yesterday. ข้าวถูกปลูกเมื่อวานนี้

Future Tense

We will grow rice tomorrow. เราจะปลูกข้าวพรุ่งนี
Rice will be grown tomorrow. ข้าวจะถูกปลูกพรุ่งนี้

ถึงแม้จะมีตั้ง 12 แต่ใช้จริงแค่ 4-5 อันตามตัวอย่างแค่นั้นแหละ เดี่ยวค่อยมาเรียนรู้ทีละอันนะครับ

 Passive Voice ยากไหม

ถ้าศึกษาเรื่อง Tense 12  ตัว เข้าใจแล้ว ตัวนี้จะเป็นเรื่องกล้วยๆ ทันที



หลักการใช้ Passive Voice ทั้ง 12 ตัว จำหลักการได้ ก็ง่ายเอง

สำหรับคำกริยาที่จะนำมาใช้ในประโยค Passive Voice ต้องเป็นคำกริยาที่มีกรรมเท่านั้น เพราะคำแปลจะต้องมีคำว่า ใครหรืออะไร ถูกทำอะไรเสมอ ส่วนคำว่า by ที่แปลว่าโดย บางครั้งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้พูด และบางประโยคไม่ต้องมีเลยก็ได้ เช่น

A fish was eaten. ปลาถูกกินไปแล้ว ประโยคนี้ต้องการสื่อแค่ว่าปลาถูกกิน ส่วนอะไรกินปลานั้นไม่สน

A fish was eaten by a cat. ปลาถูกกินไปแล้วโดยแมวตัวหนึ่ง ประโยคนี้เป็นการสื่อความแบบสมบูรณ์

Mr. Tom was arrested yesterday. นายทอมถูกจับกุมเมื่อวานนี้ ประโยคนี้ไม่ต้องใช้ by เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่จับกุมคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ

My watch was stolen last night. นาฬิกาของฉันถูกโขมยเมื่อคืน ประโยคนี้ก็ไม่ต้องบอกก็ได้ว่าใคร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นโจรย่องเบาแน่นอน

Present Tense

Present Simple Tense (ใช้บ่อย)
Rice is eaten by me. ข้าวถูกกินโดยฉัน
Present Continuous Tense (ใช้ไม่บ่อยเท่าไหร่หรอก)
Rice is being eaten by me. ข้าวกำลังถูกกินโดยฉัน
Present Perfect Tense (นานๆเห็นที)
Rice has been eaten by me. ข้าวถูกกินแล้วโดยฉัน
Present Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้)
Rice has been being eaten by me. ข้าวกำลังถูกกินแล้วโดยฉัน

Past Tense

Past Simple Tense (ใช้บ่อยเหมือนกัน)
Rice was eaten by me. ข้าวได้ถูกกินโดยฉัน
Past Continuous Tense (ไม่ค่อยจะเห็นเลย)
Rice was being eaten by me. ข้าวได้ถูกกำลังกินโดยฉัน
Past Perfect Tense (ไม่ค่อยจะเห็นอีกแหละ)
Rice had been eaten by me. ข้าวได้ถูกกินแล้วโดยฉัน
Past Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้)
Rice had been being eaten by me. ข้าวได้กำลังถูกกินแล้วโดยฉัน

Future Tense

Future Simple Tense (ใช้บ่อยเหมือนกัน)
Rice will be eaten by me. ข้าวจะถูกกินโดยฉัน
Future Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็น่าจะได้)
Rice will be being eaten by me. ข้าวจะกำลังถูกกินโดยฉัน
Future Perfect Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้นะ)
Rice will have been eaten by me. ข้าวจะถูกกินแล้วโดยฉัน
Future Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้เลยก็ได้)

Rice will have been being eaten by me. ข้าวจะกำลังถูกกินแล้วโดยฉัน


แหล่งที่มาข้อมูล
  ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/active-voice-กับ-passive-voice-คืออะไร-ที่นี่มีคำตอบ/
  ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/หลักการใช้-passive-voice-ทั้ง-12-ตัว-จำหลักการได้-ก็ง่ายเอง/

วลี (phrases)


วลี (phrases) คือกลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำต่าง ๆ ที่นำมาเรียงกันอย่างมีความหมายและทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค เช่น เป็นประธาน กริยา กรรม ส่วนเสริม ส่วนกริยาวิเศษณ์  วลีไม่ได้ประกอบด้วยทั้งภาคประธานและภาคแสดง  (นักภาษาศาสตร์บางคน เช่น Chomsky ถือว่า คำ ๆ เดียว ก็เป็นวลี แต่ในชุดการสอนนี้ถือว่า วลีคือกลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป ที่ทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค)
                วลีแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
·        นามวลี  (noun phrase) จะมีคำนามเป็นหลัก เช่น  women with long hair
·        กริยาวลี (verb phrase) จะมีคำกริยาแท้เป็นหลัก เช่น must have been thinking
·        คุณศัพท์วลี (adjective phrase) จะมีคำคุณศัพท์เป็นหลัก เช่น very happy
·        กริยาวิเศษณ์วลี (adverb phrase) จะมีคำกริยาวิเศษณ์เป็นหลัก เช่น very thoroughly
·        บุพบทวลี (prepositional phrase) จะมีคำบุพบทเป็นหลัก เช่น in the warehouse


1. นามวลี (noun phrase)

                1.1 โครงสร้างของ noun phrase
คำหลักใน noun phrase คือ คำนามหรือคำสรรพนาม  โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้
·        คำกำกับนามและคำนาม
เช่น  these houses
·        คำกำกับนาม ส่วนขยายหน้าคำนาม และคำนาม
เช่น  these big houses
·        คำนามและส่วนขยายหลังคำนาม
เช่น  houses made of wood
·        คำกำกับนาม คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม
เช่น  some houses made of wood
·        ส่วนขยายหน้าคำนาม  คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม
เช่น  big houses made of wood
·        คำกำกับนาม ส่วนขยายหน้าคำนาม  คำนาม และส่วนขยายหลังคำนาม
เช่น  some big houses made of wood
                ขอให้สังเกตว่า noun phrase มักมีคำกำกับนามและส่วนขยายเข้ามาเกี่ยวข้อง  โดยส่วนขยายส่วนมากจะเป็นคำคุณศัพท์   ในการใช้คำคุณศัพท์และคำนามขยายคำนามหลัก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ลำดับตำแหน่งของคำขยายเหล่านั้นเมื่อนำมาวางไว้ข้างหน้าคำนามหลัก  โดยทั่วไปคำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายคำนามจะมีเพียงสองสามคำ  แต่บางครั้งอาจมีส่วนขยายได้หลากหลาย โดยมีลำดับของคำคุณศัพท์และคำนามขยายหน้าคำนามหลักดังนี้


                อย่างไรก็ตาม การเรียงลำดับคำคุณศัพท์หน้าคำนามหลัก อาจผิดไปจากลำดับที่กล่าวไว้ในที่นี้ได้ โดยวางคำที่ต้องการเน้นไว้ใกล้คำนามหลักมากกว่า เช่น
                a sick young boy (เด็กน้อยที่มีอาการเจ็บป่วย)
                a young sick boy (เด็กคนป่วยที่ยังมีอายุน้อย)

                1.2 หน้าที่ของ noun phrase   นามวลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำนาม เช่น
                                1.2.1 เป็นประธาน  เช่น
                                                All the passengers were safe.
                                1.2.2 เป็นกรรม  เช่น
                                                We really enjoyed the food at that restaurant.
                                1.2.3 เป็นกรรมตรงและกรรมรอง  เช่น
                                                The manager gave all of us (กรรมรอง)  a double raise. (กรรมตรง)
                                1.2.4 เป็นส่วนเสริมประธาน  เช่น
                                                The clock was a Christmas present from the ABC Company.
                                1.2.5 เป็นส่วนเสริมกรรม  เช่น
                                                We considered Mr. Johnson the best employee.
                                1.2.6 เป็นกรรมของบุพบท  เช่น
                                                The box of chocolates is intended for your children.
                                1.2.7 เป็นส่วนขยายคำนามอื่น  เช่น
                                                John suffers from back problems.
                                1.2.8 เป็นกริยาวิเศษณ์  เช่น
                                                School starts next month.

2. กริยาวลี (verb phrase)

verb phrase ประกอบด้วย main verb (กริยาแท้) และ auxiliary verb (กริยาช่วย) ใน verb phrase หนึ่ง ๆ อาจมีกริยาช่วยมากกว่า 1 คำ
ตัวอย่าง
·        Jane will work on a night shift.
(will work เป็น verb phrase ซึ่งมี work เป็นกริยาแท้ และ will เป็นกริยาช่วย)
·        Jane will be working on a night shift next week.
(will be working เป็น verb phrase ซึ่งมี working เป็นกริยาแท้  ส่วน will และ be เป็นกริยาช่วย)
verb phrase ทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยา คือ บอกให้ทราบว่าประธานของประโยคทำอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับประธานของประโยค

3. คุณศัพท์วลี (adjective phrase)

                3.1 โครงสร้างของ adjective phrase
adjective phrase ประกอบด้วยคำคุณศัพท์กับส่วนขยายคำคุณศัพท์  ซึ่งมีทั้งประเภทที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์ และประเภทที่อยู่หลังคำคุณศัพท์  โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้
·        ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์และคำคุณศัพท์
เช่น  very happy
·        คำคุณศัพท์และส่วนขยายที่อยู่หลังคำคุณศัพท์
เช่น happy to see you
·        ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำคุณศัพท์ คุณศัพท์ และส่วนขยายที่อยู่หลังคำคุณศัพท์
เช่น  very happy to see you
                3.2 หน้าที่ของ adjective phrase   คุณศัพท์วลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำคุณศัพท์ เช่น
                                3.2.1 ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
                                                Highly sensitive people are hard to deal with.
                                3.2.2 ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมประธาน เช่น
                                                The children are very happy to see their parents.
                                3.2.3 ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมกรรม เช่น
                                                The teachers made us aware of the importance of the entrance exams.
                                3.2.4 ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม โดยอยู่ข้างหลังคำสรรพนามที่ถูกขยาย เช่น
                                                I want to eat something very spicy.

4. กริยาวิเศษณ์วลี (adverb phrase)

                4.1 โครงสร้างของ adverb phrase
adverb phrase ประกอบด้วยคำกริยาวิเศษณ์กับส่วนขยาย ซึ่งมีทั้งประเภทที่อยู่ข้างหน้าและประเภทที่อยู่ข้างหลังคำกริยาวิเศษณ์  โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งต่อไปนี้
·        ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์ และคำกริยาวิเศษณ์
เช่น  very quickly
·        คำกริยาวิเศษณ์  ละส่วนขยายที่อยู่หลังคำกริยาวิเศษณ์
เช่น quickly indeed
·        ส่วนขยายที่อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์  คำกริยาวิเศษณ์  และส่วนขยายที่อยู่หลังคำกริยาวิเศษณ์
เช่น  very quickly indeed
                4.2 หน้าที่ของ adverb phrase  กริยาวิเศษณ์วลีทำหน้าที่เช่นเดียวกับคำกริยาวิเศษณ์  ดังนี้
                                4.2.1 ทำหน้าที่ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์อื่น เช่น
                                                Henry walked extremely quickly.
                                                These umbrellas are very beautifully made.
                                4.2.2 ทำหน้าที่ขยายประโยค เช่น
                                                Surprisingly indeed, everybody survived in the car accident.

5. บุพบทวลี (prepositional phrase)

                5.1 โครงสร้างของ prepositional phrase
prepositional phrase ประกอบด้วยคำบุพบทและส่วนเสริม (complement) ซึ่งตำราบางเล่มจะเรียกว่า กรรมของบุพบท  ส่วนเสริมมี 3 ประเภทคือ
·        ส่วนเสริมที่เป็น noun phrase
เช่น  through the back door.
·        ส่วนเสริมที่เป็น noun clause
เช่น  from what I have heard.
·        ส่วนเสริมที่อยู่ในรูปกริยาเติม (v–ing)
เช่น  after speaking to you.
                5.2 หน้าที่ของ prepositional phrase   บุพบทวลีทำหน้าที่ดังต่อไปนี้
                                5.2.1 ทำหน้าที่ขยายประธานของประโยค โดยอยู่ตามหลังกริยา BE หรือกริยาเชื่อม (linking verb) เช่น
                                                Mr. Johnson is in the meeting room.
                                5.2.2 ทำหน้าที่ขยาย noun phrase โดยอยู่ในตำแหน่งหลัง noun phrase ที่ถูกขยาย เช่น
                                                Jane took a course in advanced mathematics.
                                                Kate bought a house with a beautiful garden.
                                5.2.3 ทำหน้าที่ขยายคำคุณศัพท์ โดยอยู่ในตำแหน่งหลังคำคุณศัพท์ที่ถูกขยาย เช่น
They are aware of the danger of the AIDS virus.
I am happy with what I have.
                                5.2.4 ทำหน้าที่ขยายประโยค เช่น
In fact, the economy is improving.
In my opinion, people are basically good.

แหล่งที่มาข้อมูล
http://www.stou.ac.th/schools/sla/englishwriting/cd-rom/Module4/Presentations/phrases.htm

Participle คืออะไร ความหมาย มีกี่แบบ ใช้อย่างไร ตัวอย่างประโยคพร้อมคำแปล


Participle คือ
รูปของ participle จะเติม ing (คือ present participle) หรือเติม -d / -ed (คือ past participle) ซึ่งโดยปกติหน้าที่ของ participle จะมี 2 อย่าง คือ ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ขยายคำนาม (noun) โดยการเติม -ing ท้ายคำกริยา หรือทำหน้าที่ participial phrase ก็ได้ เราลองมาดูประเภท และตัวอย่างกัน

1. Present Participle
เรียนภาษาอังกฤษจากตัวอย่างประโยค
– The patrolman stopped the speeding car.
แปลว่า ตำรวจหยุดรถที่วิ่งเร็วเกินอัตรา
– It was a thrilling game and we enjoyed it very much.
แปลว่า มันเป็นเกมที่ตื่นเต้นเร้าใจและพวกเราชอบมันมาก
* สิ่งที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษควรสังเกต
participle คือ กริยาเติม ing ในตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน ทำหน้าที่คุณศัพท์ขยายคำนาม อย่างเช่น the speeding car และ a thrilling game

2. Participial phrase with noun object
เรียนภาษาอังกฤษจากตัวอย่างประโยค
– The letter, containing many errors, had to be retyped.
แปลว่า จะหมายนั้นมีข้อผิดพลาดมากมายจะต้องถูกพิมพ์ใหม่
– The shirt, having many holes, had to be mended.
แปลว่า เสื้อตัวนั้นมีรูเยอะ จำเป็นต้องได้รับการปะชุน
* สิ่งที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษควรสังเกต
participle คือ กริยาเติม ing ในตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน ทำหน้าที่เป็นวลีที่ใช้กบ noun object อย่างเช่น containing many errors และ having many holes

3. Past Participle
เรียนภาษาอังกฤษจากตัวอย่างประโยค
– The increased demand for the product made the price rise.
แปลว่า ความต้องการผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
– The wounded animal disappeared into the forest.
แปลว่า สัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บหายเข้าไปในป่า
* สิ่งที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษควรสังเกต
participle คือ กริยาเติม ed ในตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์แต่อยู่ในรูปของ passive (ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ)
ศึกษาโครงสร้างรูปประโยค
* The wounded animal คือ The animal was wounded
* The increased demand คือ The demand was increased

4. Past participle phrase of an irregular verb
เรียนภาษาอังกฤษจากตัวอย่างประโยค
– A new play, written by a famous playwright, opened last night at the National Theatre.
แปลว่า บทละครเรื่องใหม่ที่เขียนโดยนักประพันธ์ละครที่มีชื่อเสียง ได้เปิดการแสดงเมื่อคืนที่โรงละครแห่งชาติ
– She looked at him strangely, puzzled by the question he had asked.
แปลว่า หล่อนมองเข้าอย่างประหลาดใจ สงสัยต่อคำถามที่เขาถาม

* สิ่งที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษควรสังเกต
participle คือ กริยาเติม ed ในตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน ทำหน้าที่เป็นคำกริยาในรูปของ passive (ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ)
– A new play, written by a famous playright คือ
= A new play which was written by a famous playwright.
คำศัพท์น่ารู้
playwright (เพล’ไรทฺ) n. นักเขียนบทละคร,อาชีพการเขียนบทละคร

5. Perfect Participle
เรียนภาษาอังกฤษจากตัวอย่างประโยค
– Having read the book, I returned it to the library.
แปลว่า หลังจากอ่านหนังสือเล่มนั้นจบ ฉันก็นำไปคืนห้องสมุด
– Having left the house, I felt much better.
แปลว่า หลังออกจากบ้านหลังนั้น ฉันก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
* สิ่งที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษควรสังเกต
รูปโครงสร้าง perfect participle อย่างเช่น having read และ having left สามารถวิเคราะห์แยกออกมาได้ดังนี้
ศึกษาโครงสร้างรูปประโยค
– Having read the book, I returned it to the library. คือ
After I had read the book, I returned it to the library.
– Having left the house, I felt much better. คือ
After I had left the house, I felt much better.

การเติม ed และ ing ต่างกันอย่างไร แปลว่าอะไร ใช้อย่างไร
เติม – ing  แสดงว่านามนั้นเป็นผู้กระทำกริยา  หรือ

เติม – ed แสดงว่านามนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ
-ed กับ -ing ต่างกันอย่างไร
มาดูความหมาย วิธีใช้ และตัวอย่างประโยคกันครับ

การเติม -ed
use to describe how people feel
ใช้สำหรับบรรยายความรู้สึกของคน
bored = (รู้สึก) เบื่อ
interested = (รู้สึก) สนใจ
excited = (รู้สึก) ตื่นเต้น
confused = (รู้สึก) สับสน
surprised = (รู้สึก) แปลกใจ
frustrated = (รู้สึก) ท้อแท้
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jimmy had nothing to do. He was very bored.
จิมมี่ไม่มีอะไรทำ เขาเบื่อมาก

การเติม -ing
use to describe something that causes an emotion
ใช้สำหรับอธิบายบางสิ่งที่เป็นสาเหตุให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกนั้น
boring = น่าเบื่อ
interesting = น่าสนใจ
exciting = น่าตื่นเต้น
confusing = น่าสับสน
surprising = น่าแปลกใจ
frustrating = น่าท้อแท้, น่าผิดหวัง
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
The movie was interesting. I want to watch it again.
หนังเรื่องนั้นน่าสนใจ ฉันอยากดูอีก

Present Participles
กริยาที่เติม – ing  โดยวางอยู่หน้าคำนาม  แสดงว่าเป็นผู้
กระทำกริยานั้น  และเป็นวลีที่ใช้รวมประโยค Simple Sentence 2 ประโยคเข้าเป็นประโยคเดียวกันได้
ตำแหน่งและหน้าที่ของ Present Participles
1. วางอยู่หน้าคำนาม   จะเป็นดังรูป   V.ing + noun
Mary is a working woman.
2. เป็นวลีอยู่หน้าคำอื่นๆ  ดังรูป   V.ing + word or words  ซึ่งประโยค Simple Sentence 2 ประโยคที่มีประธานเป็นคนเดียวกันมารวมกันเป็นประโยคเดียวกัน  โดยตัดประธานอีกตัวทิ้ง กริยาที่เกิดก่อนทำเป็น V.ing
Seeing her father, Mary ran away.
มาจาก   Mary saw her father. และ  Mary ran away.
Past Participles
Past Participles  คือกริยาช่องที่ 3 ที่วางไว้หน้าคำนามเพื่อแสดงว่านามนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ และเป็นวลีที่ใช้รวมประโยค Simple Sentence 2 ประโยคเข้าเป็นประโยคเดียวกัน

ตำแหน่งและหน้าที่ของ Past Participles
1.   วางอยู่หน้าคำนาม (V3 + noun) หรือ หลังคำนาม (noun + V3)  เมื่อเป็น transitive verb  ( กริยาที่ต้องมี
กรรมมารับ) หรือ วางไว้หน้าคำนามที่เดียวเท่านั้น เมื่อเป็น intransitive verb ( กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ) ตัวอย่างเช่น
transitive verb :
The car which was stolen last week is mine.
จะได้   The car stolen last week is mine.
The stolen car last week is mine.
intransitive verb :
Please change the flowers which were faded in the living room.
จะได้  Please change the faded flowers in the living room.
2.   วางอยู่หลัง verb to be จะเป็น passive voice (is, am, are, was, were + V.3)  เช่น
John was punished by his teacher.
3.   เป็นวลีที่อยู่หน้าคำอื่น ๆ (V.3 + word or words) โดยรวมประโยค Simple Sentence 2 ประโยคเข้าด้วยกันเป็นประโยคเดียว  โดยตัดประธานออก 1 ตัว กริยาที่เกิดก่อนทำเป็น V.3 เช่น
He was punished by his teacher.  He cried loudly.
Punished  by his teacher, he cried loudly.
4.   Past Participle ใช้  Adverb  ขยายได้ (Adv. + past participle + noun) เช่น
a well-designed dress

การรวมประโยค Simple Sentence
1.   เมื่อประธานเป็นตัวเดียวกัน   มีหลักดังนี้
– ถ้าประธานเป็น noun และ pronoun  ให้ตัดประธานที่เป็น pronoun  ทิ้ง
– ถ้ากริยาที่เกิดขึ้นก่อนเป็น active form และเป็น past simple tense  ให้เปลี่ยนกริยาเป็น present participle ( V-ing) เช่น
He believed in her story.  He gave her hundred baht.
Believing in her story, he gave her hundred baht.
– ถ้ากริยาที่เกิดขึ้นก่อนเป็น passive form อยู่ในรูป  Verb to be + V3 ให้ตัด Verb to be ออกให้เหลือ V3 (past participle) หรือใช้  being + V3  เช่น
She was arrested by the police.  She was sent to the prison.
Arrested by the police, she was sent to the prison.
Being arrested by the police, she was sent to the prison.
– ถ้ากริยาที่เกิดขึ้นก่อนเป็น active form และเป็น past perfect tense คืออยู่ในรูป had + V3  ให้เปลี่ยน had  เป็น having  หรือตัด had ทิ้งแล้วเปลี่ยน V3 เป็น V-ing
He had worked hard all week.  He felt tried.
Having worked hard all week, he felt tried.
Working hard all week, he felt tried.
2. เมื่อประธานไม่ใช่ตัวเดียวกัน  มีหลักดังนี้
– ไม่ตัดประธานของทั้ง 2 ประโยคออก
– ถ้ากริยาที่เกิดก่อนเป็น Active form  อยู่ในรูป past simple tense ให้เปลี่ยนกริยาเป็น (had + V3) และเปลี่ยน had  ให้เป็น having  เช่น
She walked in the park.  A dog bit her.
She having walked in the park, a dog bit her.
– ถ้ากริยาที่เกิดก่อนเป็น Passive form ( verb to be + V.3)ให้เปลี่ยน เป็น had been + V.3 แล้วเปลี่ยน had  เป็น having
She was taken to hospital.  The doctor examined her.
She having been taken to hospital, the doctor examined her.
– ถ้ากริยาที่เกิดก่อนเป็น Active form อยู่ในรูป had + V.3 ให้เปลี่ยน had  เป็น having
He had worked for five days.  His job was finally finished.
He having worked for five days, his job was finally finished.

แหล่งที่มาข้อมูล
http://www.tonamorn.com/english/grammar/participle/
http://www.tonamorn.com/เรียนภาษาอังกฤษ/participles/

หลักการใช้ Verb



การสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียนถ้าจะให้เข้าใจง่ายนั้น รูปประโยคจะต้องประกอบไปด้วย ประธาน (subject) + กริยา (verb) เป็นอย่างน้อย ซึ่งบางประโยคอาจจะมี กรรม (object) หรือไม่มีก็ได้ครับ

ถ้าผมยกตัวอย่างคำต่างๆมาแล้วถามคน 100 คน ว่าคำไหนเป็นคำกริยา (Verb)บ้าง ผมว่าทั้ง 100 คนตอบได้ครับ แต่ถ้าผมถามว่าคำกริยาคืออะไร แบ่งออกได้กี่ประเภท และแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร ผมเริ่มไม่แน่ใจครับว่าจะเหลือสักที่คนที่ทราบคำตอบ (หากคุณคือกลุ่มที่ไม่ทราบหรือไม่แน่ใจ ลองอ่านข้างล่างนี้ดูนะครับ)


คำกริยา หรือ Verb คือคำที่แสดงอาการของนาม (noun) หรือสรรพนาม (pronoun) ใช่แล้วครับคำไหนที่เราแปลได้ว่าเป็นการแสดงอาการ ตอบไปเลยครับว่านั่นคือ “กริยา”
Verb เมื่อเราแบ่งตามหน้าที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

1. สกรรมกริยา (Transitive Verb)
คือกริยาที่ไม่สามารถทำให้ประโยคสมบูรณ์ได้ด้วยตัวของมันเอง จำเป็นต้องมีกรรม หรือวลีอื่นมารองรับ
เช่น open, read, become, look, show, lie, cleans, give, kick และอีกเยอะแยะมากมายครับ หากยกตัวอย่างวันนี้ไม่จบบทแน่ครับ

  • Shall I close the window?
ผมปิดหน้าต่างได้ไหม? (ถ้ากริยา“ปิด”นี้ ไม่มีกรรมมารองรับ จะกลายเป็น ผมปิด? อ้าว! ปิดอะไรละครับ งงเลยละสิ)
  • I give the gift to you.
ฉันให้ของขวัญแก่คุณ (ถ้าผมเล่าให้ฟังแค่ว่า “เมื่อวานฉันให้” คนฟังคงค้างคาใจมากนะครับว่าผมให้อะไร)
  • When did you buy it?
คุณซื้อมันมาเมื่อไร? (มันในที่นี่คือสิ่งที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจกันเป็นอย่างดีว่าคืออะไร)

2. อกรรมกริยา (Intransitive Verb)
คือกริยาที่สามารถทำให้ประโยคสมบูรณ์ได้ด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องมีกรรม หรือวลีอื่นมารองรับ
เช่น run, smile, cry, swim, walk, jump, stand, breathe อีกเยอะแยะมากกมายอีกเช่นกันครับ

  • Who comes?
ใครมาอ่ะ? (เห็นไหมครับ ว่าแค่ถามว่าใครมา เราก็สามารถเข้าใจความหมายแล้วโดยไม่จำเป็นต้องมีอะไรมารองรับ comes)
  • Wow! Look over there. He is dancing.
ว้าว! ดูนั่นสิ เขากำลังเต้น (จากประโยคไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงการเต้นเลยใช่ไหมครับ แค่บอกว่าเต้นก็เข้าใจแล้ว)
  • We were very sad to hear of his death.
พวกเราเสียใจเป็นอย่างมากที่ทราบว่าเขาเสียชีวิต (ความจริงแค่บอกว่าพวกเราเสียใจ ก็ทำให้ประโยคสมบูรณ์แล้ว แต่ในตัวอย่างมีส่วนขยายที่บอกว่าทำไมพวกเราถึงเสียใจ)

3. กริยาช่วย (Auxiliary Verb หรือ Helping Verb)
คือกริยาที่มีเพื่อทำให้ประโยคถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักภาษา (โดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง tenses ซะมากกว่า) หรือมีเพื่อเพื่อช่วยกริยาตัวอื่นในประโยค ซึ่งสังเกตได้ว่ากริยาแท้จะสามารถอยู่ได้โดยไม่มีกริยาช่วย แต่กริยาช่วยจะไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากกริยาแท้ มาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง
คำกริยา สามารถแบ่งออกได้ตามช่วงเวลาของเหตุการณ์ได้ 3 ช่วง เราเรียกว่า กริยา 3 ช่อง
– กริยาช่องที่ 1 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
– กริยาช่องที่ 2 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
– กริยาช่องที่ 3 ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างสมบูรณ์ทั้งในปัจจุบันและอดีต (Perfect tenses) หรือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (Passive Voice)


Verb เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เนื้อหาค่อนข้างเยอะเนื่องจากเนื้อหาเรื่อง Verb จะเป็นไปเชื่อมโยงกับบทอื่นๆได้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Tenses หรือเรื่องของ Passive Voice โดยเฉพาะเรื่องของ Tenses คือถ้าTenses ต่างรายละเอียดการใช้ Verb ก็จะต่างกันออกไป ซึ่งเป็นไปได้ยากครับที่เราจะเข้าใจเรื่องของ Verb ทันทีตั้งแต่ที่เริ่มศึกษา แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ครับ

เพียงแค่เราใช้ภาษาบ่อยๆสักวันเราก็จะใช้ภาษาได้คล่องครับ อย่างที่มีคนเคยบอก อยากเก่งเขียน ต้องอ่านให้เยอะ อยากกินพูด ต้องฟังให้เยอะ เช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะอยากเก่งอะไรก็ตามก็แค่ฝึกในด้านนั้นๆเยอะๆครับ

แหล่งที่มาข้อมูล
http://www.dailyenglish.in.th/verb/